หน่วยการเรียนรู้ที่ 1

จุดประสงค์การเรียนรู้


การถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความหมายในงานศิลปะ


มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงสั้น


         
  รู้วิธีสื่อความคิด จินตนาการ ความรู้สึก ความประทับใจ ด้วยวัสดุ อุปกรณ์วิธีการทางศิลปะและสื่อความหมายได้




สาระการเรียนรู้ช่วงชั้น


การสื่อความคิด จินตนาการ ความรู้สึก ความประทับใจด้วย
1. วัสดุ อุปกรณ์
2. เทคนิควิธีการทางทัศนศิลป์



การสื่อความหมาย



จุดเน้น


         
  รู้วิธีการสื่อความคิด จินตนาการ ความรู้สึก ความประทับใจ เป็นผลงานศิลปะและสื่อความหมายได้

รายละเอียดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1

ขอบข่ายสาระการเรียนรู้


การถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความหมายในงานศิลปะ
1. ความหมายของศิลปะ
2. งานจิตรกรรม
3. งานประติมากรรม
4. งานสถาปัตยกรรม



ผลการเรียนรู้ที่คาดหวั


           รู้วิธีสื่อ วิธีถ่ายทอด ความคิด จินตนาการ ความรู้สึกประทับใจด้วยวัสดุอุปกรณ์ วิธีการทางทัศนศิลป์ และสื่อความหมายได้


1. ความหมายของศิลปะ


ความหมายของศิลปะ

 ศิลปะมีความหมายกว้างขวางและยากที่จะนิยาม หรือกำหนดไว้ตายตัวเนื่องจากมีลักษณะการแสดงออกที่เป็นอิสระ สามารถที่จะสร้างสรรค์และพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด แต่ก็พอจะรวบรวมความหมายที่นักปราชญ์ หรือผู้รู้ได้เสนอความคิดเห็นไว้ ดังนี้

1. ตอลสตอย นักปราชญ์ชาวรัสเซีย ให้ความเห็นไว้ว่า “ศิลปะ คือ การถ่ายทอดความรู้สึก เป็นวิธีการสื่อสารความรู้สึกระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
2. อริสโตเติล นักปราชญ์ชาวกรีก กล่าวว่า ศิลปะ คือ สิ่งที่มนุษย์ถ่ายทอดจากธรรมชาติ”
3. ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ให้ความหมายของศิลปะว่า งานอันเป็นความพากเพียรของมนุษย์ ซึงต้องใช้ความพยายามด้วยมือและความคิด”


           มนุษย์สร้างสรรค์งานศิลปะเพื่อความชื่นชม สนองความต้องการด้านอารมณ์และจิตใจ ผ่านประสาทสัมผัส ด้าน ได้แก่ ศิลปะที่มองเห็น เรียกว่า ทัศนศิลป์ศิลปะที่แสดงออกทางเสียง เรียกว่า โสตศิลป์ หรือ ดนตรี และศิลปะที่แสดงออกทางลีลาการเคลื่อนไหว เรียกว่า นาฎศิลป์ หรือการละคร

           สำหรับศิลปะที่มองเห็น หรือ ทัศนศิลป์ (Visual Art) เป็นศิลปะที่สามารถสัมผัสรับรู้ ชื่นชมทางสายตา และสัมผัสจับต้องได้ กินระวางเนื้อที่ในอากาศ แบ่งออกเป็นประเภท ได้แก่
1. จิตรกรรม (Painting) หมายถึง การวาดภาพและระบายสี หรือการแสดงออกบนพื้นระนาบ มิติ
2. ประติมากรรม (Sculpture) หมายถึง การปั้น การสลัก หรือการแสดงออกเป็นผลงาน มิติ
3. สถาปัตยกรรม (Architecture) หมายถึง การออกแบบก่อสร้างอาคารสถานที่ต่างๆ








2. จิตรกรรม (Painting)


จิตรกรรมมีหลายประเภทและเรียกชื่อต่างๆ กัน โดยพิจารณาจากวัสดุ เรื่องราว และตำแหน่งติดตั้ง 



การเรียกตามชื่อวัสดุ ได้แก่ จิตรกรรมสีน้ำ จิตรกรรรมสีน้ำมัน เป็นต้น


การเรียกชื่อตามเรื่องราว ได้แก่ จิตรกรรมภาพคน จิตรกรรมภาพทิวทัศน์ เป็นต้น
การเรียกชื่อตามตำแหน่งติดตั้ง ได้แก่ จิตรกรรมฝาผนัง จิตรกรรมข้างถนน เป็นต้น



จิตรกรรมอิงประวัติศาสตร์




จมื่นไวยวรนารถเป็นแม่ทัพไปปราบฮ่อ เทคนิคสีน้ำมันขนาด 120x200 ซ.ม. ผลงานของ วิทูรย์ โสแก้ว



จิตรกรรมสีน้ำมัน





ตลาดน้ำ ชีวิตคนที่อาศัยในคลอง ขนาด 14x20 นิ้ว ผลงานของวิทูรย์ โสแก้ว



จุดมุ่งหมายของจิตรกรรม

จุดมุ่งหมายของจิตรกรรมอาจแบ่งได้เป็นประเด็นใหญ่ๆ คือ
1. จุดมุ่งหมายของศิลปินผู้สร้าง
2. จุดมุ่งหมายของจิตรกรรมเองโดยตรง
จุดมุ่งหมายของศิลปินผู้สร้างนั้น ได้แก่ เป้าหมายที่จิตรกรต้องการให้จิตรกรรมสนองผลประโยชน์ทางด้านใดด้านหนึ่ง เช่น บรรยายด้านความเชื่อทางศาสนา บรรยายเรื่องราวของพระมหากษัตริย์ และบรรยายประวัติความเป็นมาของมนุษย์ ซึ่งลักษณะรูปแบบก็มักจะคล้ายตามความต้องการของผู้อุปการะศิลปิน หรือพระมหากษัตริย์โดยตรง นอกจากนี้ยังสนองผลประโยชน์ทางด้านความคิดของศิลปินโดยตรงเช่น ใช้จิตรกรรมเป็นสื่อเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของความเชื่อ ความศรัทธา ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ตกแต่งฝาผนัง
โบสถ์ วิหารเป็นต้น หรือเพื่อเป็นแนวทางในการสั่งสอนคนรุ่นหลัง
สำหรับจุดมุ่งหมายของจิตรกรรมโดยตรง มีจุดมุ่งหมาย ประการ คือ
1. เพื่อบันทึกรูปแบบ (Recorded image)
2. เพื่อบันทึกความรู้สึกของศิลปิน (Recorded sensation)




3. ประติมากรรม (Sculpture)



 เราทราบมาแล้วว่าสิ่งที่ล้อมรอบตัวเรามีรูปทรงต่างๆ กันและมีลักษณะเป็นสามมิติ ดังนั้นเมื่อใดที่มนุษย์สนใจที่จะเลียนแบบรูปทรงสามมิตินั้นโดยใช้วัสดุที่เปลี่ยนแปลงรูปทรงได้เช่น ดินเหนียว ถ่ายทอดรูปทรงนั้นๆเราก็เรียกผลงานว่า ประติมากรรม และผู้ทำงานนี้ก็ถูกเรียกว่า ประติมากร 

   คำว่า ประติมากรรม หมายถึง รูปของสิ่งต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นสามมิติ อาจเป็นรูปคน สัตว์ สิ่งของ แต่ถ้าเป็นรูปเคารพในศาสนา เช่น พระพุทธรูป พระเจ้า เป็นต้น เรียกว่า ปฏิมากรรม และผู้ทำก็ถูกเรียกว่า ปฏิมากร




วิธีการทำประติมากรรม



ประติมากรรมมีวิธีการทำอยู่ ประการ คือ

1. การเพิ่มวัสดุลงในบริเวณหรือแกนที่สร้างขึ้น โดยให้ได้รูปทรงตามที่ต้องการ ซึ่งได้แก่ การปั้น
2. การสกัดเอาส่วนที่เห็นว่าไม่ต้องการออก จนเหลือเฉพาะรูปทรงที่เห็นว่าเหมาะสมเท่านั้น ซึ่งได้แก่ การแกะสลัก
3. การผสมผสานกันทั้งขบวนการที่ และที่ ได้แก่ การเพิ่มเข้าและการแกะสลักออก จนได้รูปทรงของประติมากรรมตามที่ต้องการ

รูปทรงของประติมากรรม

ประติมากรรมมีรูปทรงเป็นลักษณะสามมิติ และในลักษณะสามมิตินั้นยังสามารถแบ่งออกได้ ประเภท


1. ประเภทลอยตัว (Round Relief)

           มีลักษณะตั้งได้ สามารถมองได้รอบด้าน ทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลังประติมากรรมประเภทลอยตัวนี้ บางทีก็สามารถตั้งได้ด้วยตัวของมันเอง บางชนิดก็ต้องมีฐานรองรับซึ่งผู้สร้างที่ใช้ฐานรองรับจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกลมกลืนของฐานด้วย บางทีก็ใช้บริเวณฐานเป็นที่จารึกคุณงามความดีของรูปปั้นนั้น เช่น รูปปั้นคนเหมือน หรือรูปอนุสาวรีย์เป็นต้น
















2. ประเภทนูนสูง (High Relief)

           มีลักษณะสูงขึ้นมาจากพื้น โดยที่มองเห็นได้ ด้าน ด้านหลังมองไม่เห็น สำหรับความสูงต่ำมักจะมีลักษณะใกล้เคียงรูปแบบจริง เช่น รูปปั้นประกอบบริเวณฐานของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นต้น


แสงหิรัญได้ถ่ายทอดความแกร่งกล้าของเด็กไทยและชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยในอดีต ภาพปั้นสิงห์ ประติมากรรมนูนสูง





3. ประเภทนูนต่ำ (Bas Relief)


           มีลักษณะคล้ายกับนูนสูง ผิดกันแต่ว่าความสูงต่ำ ได้ย่นย่อลงให้กลมกลืนกับพื้นหลัง เช่น รูปบนเหรียญต่างๆ เป็นต้น




รูปปั้น ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ผลงานประติมากรรมนูนต่ำ ของบุญพาต ฆังคะมะโน





ประติมากรรมที่มีลักษณะสูงต่ำทั้ง ประเภท มีความสำคัญและการนำไปใช้เพื่อความเหมาะสมต่างๆ กัน ซึ่งพอประมวลได้ดังต่อไปนี้



1. เพื่อเป็นการจำลองคนที่เราเคารพนับถือให้มีรูปแบบหลงเหลือเพื่อเตือนให้ระลึกถึง หรือเพื่อเคารพบูชา
2. เพื่อเป็นการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมให้เป็นรูปทรงปรากฎเป็นหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์
3. เพื่อเป็นการปลุกเร้าให้ผู้พบเห็นตระหนักในความสำคัญของการอยู่ร่วมกัน ความสามัคคี และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม
4. เพื่อเป็นการแสดงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของสังคมนั้นๆ



ความเป็นมาของประติมากรรม


           ในอดีตรูปแบบประติมากรรมบางทีก็นำไปใช้เป็นสื่อสั่งสอนกัน เช่น รูปประติมากรรม วีนัสแห่งวิลเลนดอร์ฟ ซึ่งจะสอนให้คนมองเห็นความสำคัญในอภินิหารแห่งความอุดมสมบูรณ์ ความเติบโตเป็นผู้ใหญ่ การขยายเผ่าพันธุ์ หรือประติมากรรมที่เป็นรูปเคารพของพระเจ้า หรือพระพุทธรูปประติมากรรมเหล่านี้ผู้สร้างพยายามบรรจงตกแต่งให้เกินสภาพความเป็นจริงของมนุษย์ด้วยเหตุว่าหากสร้างให้เหมือนมนุษย์แล้ว มนุษย์ด้วยกันจะไม่เคารพ แต่ในสมัยกรีกกลับมีความเชื่อว่าการถ่ายทอดรูปแบบประติมากรรม ให้เป็นเทพเจ้าที่เคารพนั้น ควรจะเริ่มจากคนจริง และให้เหมือนจริงมากที่สุด เพราะรูปคนจริงๆ นั้นงดงามกว่ารูปเทพเจ้าที่คนไม่เคยเห็น ดังนั้นรูปประติมากรรมของกรีก จึงมีลักษณะของคนจริงมากที่สุด อันแสดงสัดส่วน ทรวดทรง กล้ามเนื้ออย่างงดงาม
           ประติมากรรมโลหะลอยตัว สตรีในชุดผ้านุ่งที่บางพลิ้ว แสดงเรื่องราวในเทพนิยาย รูปประติมากรรมบางสมัยก็สะท้อนความคิดของศิลปินที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ กล่าวคือ ในสมัยกอทิกระบบเศรษฐกิจทั้งหลายอยู่ในอำนาจของพระและขุนนางชั้นสูงซึ่งผู้อยู่ในตำแหน่งนี้ มักจะอยู่ดีกินดี อ้วนอุ้ยอ้าย ดังนั้น ประติมากรจึงปั้นรูปเคารพมีลักษณะตรงกันข้าม คือ รูปเคารพที่มีลักษณะผอม เพราะมีความเชื่อว่าคนอ้วนมาก คือคนมีบาปมาก และเอาเปรียบผู้อื่นจนมีฐานะดี
           รูปลักษณะประติมากรรมแบบกรีก แสดงถึงความอ่อนช้อย สวยงามด้วยลีลาของเส้นและรูปทรง ในสมัยใหม่ เริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ความคิดเกี่ยวกับประติมากรรม นอกจากจะเน้นรูปแบบที่มนุษย์ด้วยกันมองเห็นแล้ว ยังเพิ่มลักษณะพื้นผิวของประติมากรรม รวมทั้งคำนึงถึงฐานของประติมากรรมในลักษณะที่เรียบง่าย บางตอนก็อาจปล่อยรูปทรงของวัสดุนั้นไว้เฉยๆ
           วิวัฒนาการของประติมากรรมที่น่าสนใจยิ่งในศิลปะสมัยใหม่ก็คือ การเปิดรูปทรงให้กลวง เพื่อให้เห็นความผสมผสานของรูปทรงภายนอกและรูปทรงภายใน ประติมากรที่ริเริ่มในสมัยนี้คือ ศิลปินชาวอังกฤษชื่อ เฮนรี่ มัวร์ มัวร์ได้เจาะรูปปั้นให้กลวงและลดรายละเอียด แสดงรูปแบบเรียบง่าย โดยรักษาคุณสมบัติของวัสดุไว้ให้มองเห็นอย่างชัดเจน และเรื่องวัสดุนั้น มัวร์ก็สืบทอดการใช้วัสดุจาก ไมเคิล แองเจลโล  กล่าวคือ ใช้หินจากภูเขาที่ไมเคิล แองเจลโล เคยนำมาสร้างผลงาน







พีเอต้ารูปแกะสลักหินอ่อน ฝีมือของไมเคิล แองเจลโล ประติมากรชาวอิตาลี เป็นงานประติมากรรมเหมือนจริงที่แสดงสัดส่วนกล้ามเนื้อและรอยยับย่นของเสื้อผ้าได้อย่างงดงามราวกับของจริง



ปริมาณของประติมากรรม

           ประติมากรรมนั้น หากผู้สร้างต้องการจะเพิ่มจำนวนปริมาณตามความต้องการของสังคม เขาก็มักจะใช้วิธีหล่อโดยสร้างรูปที่ต้องการนั้นให้เป็นแม่พิมพ์ หรือรูปแม่แบบเสียก่อนแล้วจึงทำพิมพ์จากรูปแม่แบบนั้นเพื่อหล่อต่อไป การหล่อมีวิธีทำพิมพ์ วิธี คือ
1. การทำพิมพ์ทุบ พิมพ์ทุบเป็นแม่พิมพ์ชั่วคราว เมื่อสร้างขึ้นมาแล้ว สามารถใช้หล่อได้ เพียงรูปเดียวเท่านั้น เพราะเมื่อจะนำแม่พิมพ์ออก หลังจากทำการหล่อรูปแล้วนั้น ต้องทำการสกัดแม่พิมพ์ให้แตกออก เหลือเฉพาะส่วนที่เป็นรูปหล่อเท่านั้น แม่พิมพ์ทุบนี้ใช้สำหรับการหล่องานปั้นที่ทำด้วยวัสดุอ่อน เช่น ดินเหนียว ดินน้ำมัน ขี้ผึ้ง เท่านั้น
2. การทำพิมพ์ชิ้น ใช้สำหรับการหล่องานปั้นที่มีลักษณะรูปนูนที่มีแง่มุมโค้งเว้ามาก หรือรูปที่ต้องการหล่อออกมาเหมือนรูปต้นแบบหลายๆ รูป การทำพิมพ์ชิ้นไม่นิยมทำจากรูปต้นแบบที่เป็นดินเหนียว ดินน้ำมัน หรือขี้ผึ้ง แต่นิยมทำจากรูปต้นแบบที่มีเนื้อวัสดุแข็งดังนั้น ถ้าจะทำแม่พิมพ์ชิ้น ควรหล่อรูปจากแม่พิมพ์ทุบเสียก่อน เมื่อได้รูปแบบเป็นวัสดุที่ต้องการแล้วจึงแบ่งพิมพ์เป็นชั้น การแบ่งพิมพ์ประติมากรจะรู้ว่าส่วนไหนยื่นโปนออกมา ก็จะต้องแบ่งหลายชิ้น หากมีแง่มุมที่ถอดพิมพ์ยากก็จะแบ่งหลายๆ ชิ้น และควรถอดพิมพ์ตามลำดับก่อนหลัง มิฉะนั้นส่วนยื่นโปนออกมาจะชำรุดได้

           สรุปได้ว่า ประติมากรรมเป็นผลงานรูปทรงที่มนุษย์สร้างขึ้น มีลักษณะ มิติ โดย มีกระบวนการทำ ประการ คือ การเพิ่มการสลักออก และการผสมทั้งเพิ่มและสลัก รูปแบบของประติมากรรมที่เกิดจากกระบวนการเหล่านี้มี แบบเช่นกัน คือรูปแบบลอยตัว รูปแบบนูนสูง และรูปแบบนูนต่ำ รูปแบบทั้งหลายนี้ศิลปินจะเลือกทำตามความเหมาะสมและประโยชน์ใช้สอยที่ตนและสังคมต้องการ

ประติมากรรมกึ่งนามธรรมถ่ายทอดชีวิตพ่อแม่ลูก
ผลงานของเฮนรี่ มัวร์
งานประติมากรรมแบบนามธรรม ผลงานของ มอน มัดจิแมน
ประติมากรชาวอินโดนิเซีย ในงานแสดงประติมากรรมอาเซียน


4. สถาปัตยกรรม (Architecture)


  ในบรรดารูปแบบศิลปะที่มองเห็นที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้นสถาปัตยกรรมมีรูปแบบใหญ่ที่สุด และเป็นแหล่งรวมของศิลปะที่มองเห็นเกือบทุกชนิด ตัวอย่างเช่น ในโบสถ์ ลักษณะส่วนประกอบของเสา ผนัง เพดานหน้าต่าง หลังคา พื้น ตลอดจนผังบริเวณและสวน สามารถที่จะสอดแทรกรูปแบบศิลปะที่มองเห็นแขนงจิตรกรรมและประติมากรรมผสมผสานเข้ากันได้อย่างดี ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า สถาปัตยกรรมคือ สถานที่รวมศิลปกรรมเกือบทุกประเภท สถาปัตยกรรมมีความหมายต่างๆกัน อาจหมายถึงเทคโนโลยีของการก่อสร้าง หรือศาสตร์ของการก่อสร้างที่สนองความต้องการทางด้านร่างกายของมนุษย์ และความต้องการด้านความเชื่อ ในที่นี้จะนิยามความหมายของสถาปัตยกรรมใหม่คือ การกำหนดผัง บริเวณว่างเพื่อประโยชน์ใช้สอย ซึ่งมีรูปแบบแสดงเอกลักษณ์ของสังคมนั้นๆ เมื่อกล่าวถึงเอกลักษณ์ก็หมายถึงลักษณะเด่นของรูปแบบสถาปัตยกรรมนั้นๆ ซึ่งทำให้ผู้พบเห็นรู้ว่าเป็นของสังคมใด เช่น สถาปัตยกรรมที่เกี่ยวกับโบสถ์ วิหารของไทย มักจะแสดงเอกลักษณ์ที่หลังคาซ้อนและจะซ้อนกันไม่มากนักกล่าวคือ ไม่เกิน ชั้น ซึ่งจะต่างกับของจีนที่แสดงการซ้ำซ้อนของหลังคาเกินชั้น 


ความวิจิตรอลังการของสถาปัตยกรรมไทย พระอุโบสถ วัดพระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎธานี

สถาปัตยกรรมไทยที่แสดงเอกลักษณ์หลังคาซ้อนกันไม่เกิน ชั้น

  เรื่องเอกลักษณ์นี้ในสมัยกรีกโบราณมีเอกลักษณ์ของบัวหัวเสา เช่น แบบดอริก (Doric) แบบไอโอนิก (Ionic) และแบบโครินเธียน (Corinthian) เป็นต้น สำหรับผังบริเวณก็มักจะใช้รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป็นแบบแผนสำคัญ โดยมีชื่อเรียกว่า Golden Mean Rectangle ซึ่งมีด้านกว้างประมาณสามส่วนและด้านยาวประมาณห้าส่วน หรือเอกลักษณ์ของเจดีย์ในสมัยรัตนโกสินทร์ที่พบเห็นในวัด ก็มักจะอยู่ในทรวดทรงจอมแห นอกจากนี้เมื่อเราเห็นเจดีย์ทรงกลมหรือทรงระฆัง ก็อาจจะบอกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของรูปแบบสมัยอยุธยา เป็นต้น อย่างไรดี เรื่องสถาปัตยกรรมที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของสังคมนี้ปรากฎเด่นชัดมากในสถาปัตยกรรมทางศาสนา แต่ในสังคมปัจจุบันร่วมสมัยมาก กล่าวถึง คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอย และมีรูปทรงเรียบง่าย หรือรูปทรงที่มีลักษณะทึบตันของสถาปัตยกรรมดังจะเห็นได้จากการก่อสร้างอาคารของธนาคารเกือบทุกแห่งในประเทศไทยซึ่งมีลักษณะรูปแบบที่ร่วมสมัยมากเป็นต้น 


หัวเสาแบบโครินเธียน หัวเสาสถาปัตยกรรมกรีกให้อิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมในยุคต่อมา

แพร่หลายทั้งในยุโรป อเมริกาและเอเชีย



โครงสร้างของสถาปัตยกรรม

           เราทราบแล้วว่า สถาปัตยกรรมหมายถึงการกำหนดผังบริเวณว่างเพื่อประโยชน์ใช้สอย ดังนั้น ความสำคัญประการแรกก็คือโครงสร้างของสถาปัตยกรรมนั้นๆ โครงสร้างของสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะเด่น คือ
1. โครงสร้างแบบวางพาด ถือได้ว่าเป็นโครงสร้างดั้งเดิม กล่าวคือ มีเสาและมีคานพาด ตอนบน ซึ่งจะเป็นฐานของหลังคาโครงสร้างแบบนี้จะใช้หินเป็นคานพาด ซึ่งหินที่เป็นคานพาดนั้นมีความยาวจำกัด ดังนั้นโครงสร้างแบบนี้จึงต้องมีเสามาก
2. โครงสร้างแบบยึดโยง ส่วนมากใช้กับคอนกรีต กล่าวคือ ใช้เหล็กเป็นโครงสำหรับหล่อ คอนกรีต มีคานและส่วนประกอบต่างๆที่ต้องยึดกันเพื่อให้คอนกรีตมีความแข็งแรงทนทาน
3. โครงสร้างแบบห้อยหรือแขวน เป็นโครงสร้างที่เหมาะสมสำหรับวัสดุบางชนิด เช่น การใช้ เหล็กสร้างสะพานบางแห่งในต่างประเทศ เป็นต้น โดยใช้เหล็กเป็นตัวเชื่อมโยงกับเสาของสะพาน ในการออกแบบโครงสร้าง ผู้ออกแบบจะต้องคำนึงถึงวัสดุที่จะนำมาใช้ในการก่อสร้าง คุณสมบัติของวัสดุ ตลอดจนแรงต่างๆ ที่จะกระทำต่อโครงสร้างนั้นๆ เช่น แรงลม แรงสั่นสะเทือนเป็นต้น และผู้ออกแบบมักจะคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อความปลอดภัยของโครงสร้างนั้นๆ และการรับน้ำหนักของโครงสร้างนั้นๆ ด้วย

ประเภทของสถาปัตยกรรม

           ถ้าเราพิจารณาสถาปัตยกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นทั้งในปัจจุบันและอดีต เราอาจแบ่งได้ ประเภท คือ
1. ประเภทที่มนุษย์เข้าไปอยู่อาศัยไม่ได้ ได้แก่ เจดีย์ สถูป อนุสาวรีย์ สถาปัตยกรรมประเภทนี้ สร้างขึ้นเพื่อสนองความต้องการด้านความเชื่อของมนุษย์ และเป็นสถาปัตยกรรมทางศาสนาเป็นส่วนมาก

2. ประเภทที่มนุษย์เข้าไปอยู่อาศัยได้ ได้แก่ อาคาร บ้านเรือน อาคารสงเคราะห์ สถาปัตยกรรมเหล่านี้ นอกจากจะคำนึงถึงบริเวณว่างภายในที่เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์แล้วยังต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อม เช่น การจัดสวน การจัดวางผัง การแบ่งบริเวณ รวมถึงการตัดถนนหนทางด้วย



  สำหรับในประเทศไทยอาจมีสถาปัตยกรรมบางประเภทที่เคลื่อนไหวได้ เพราะลอยอยู่ในน้ำ เช่น แพ เป็นต้น
สถาปัตยกรรมประเภทนี้มีบริเวณว่างภายในที่เป็นประโยชน์สำหรับมนุษย์ ซึ่งบางที เราอาจจะต้องทำความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับความหมายของคำว่าสถาปัตยกรรมใหม่ เพราะเหตุว่าการออกแบบรถที่มนุษย์สามารถเข้าไปอยู่อาศัยได้หรือการออกแบบสิ่งใหม่ๆ เช่น เครื่องบิน ยานอวกาศ สิ่งเหล่านี้จะถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมด้วยได้หรือไม่

         อย่างไรดี คำว่าสถาปัตยกรรมในหน่วยการเรียนรู้นี้จะจำกัดเฉพาะสิ่งก่อสร้างที่อยู่บนพื้นดินเท่านั้น สำหรับสิ่งก่อสร้างหรือการออกแบบที่เคลื่อนไหวได้ไม่อยู่ในขอบข่ายที่นำมาพิจารณา เพราะจะมีเนื้อหาลึกเกินขอบข่ายความนิยมชื่นชมทางศิลปะสำหรับสถาปัตยกรรมบนพื้นดินมีแนวทางในการนิยมชื่นชมที่สำคัญคือ

1. ความงามของรูปทรงภายนอกและบริเวณว่างที่เป็นประโยชน์ภายใน
2. ความงามของวัสดุที่นำมาผสมผสานกันโดยวัสดุเหล่านั้นยังคงแสดงคุณค่าของตัวมันเอง
3. ความงามของการตกแต่งหรือการแสดงออกที่เรียบง่าย
4. ความงามที่แสดงเอกลักษณ์ของสังคมนั้นๆ


           
สถาปัตยกรรมที่มนุษย์เข้าไปอยู่อาศัยได้ นอกจากคำนึงถึงบริเวณภายในแล้ว ยังต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมเช่น การจัดสรร เป็นต้น






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น